top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนniracha payyakul

บำรุงผิว แบบไหน ถึงจะเรียกว่าผิวดี ชุ่มชื้นสมวัย

บำรุงผิว แบบไหน ถึงจะเรียกว่าผิวดี ชุ่มชื้นสมวัย

สำหรับอาหารที่รับประทานแล้วจะช่วยบำรุงผิวกายให้ขาวใสขึ้นได้ สาว ๆ แต่การ บำรุงผิว แบบไหน ถึงจะดีที่ทำให้ผิวพรรณดูขาวใสและเปล่งปลั่งขึ้นได้ทันตาเห็น นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีสารแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่จะช่วยกระชับให้ผิวสวยมากขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากมายเลยทีเดียวควร เน้นทานผักและผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ เพราะประโยชน์ของผักและผลไม้จะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย


เราเป็นคนผิวแบบไหน ไม่ต่างจากการเช็กสภาพผิวหน้าเลย เพราะผิวแต่ละแบบมีวิธีการดูแล บำรุงผิว ที่แตกต่างกัน และใช้ครีมที่มีลักษณะเฉพาะต่างกัน เช่น ถ้าเราเป็นคนผิวแห้ง แต่ไปใช้ครีมแบบ oil-free ก็จะยิ่งทำให้ผิวแห้งไปกันใหญ่ หรือคนผิวแพ้ง่ายก็ต้องระวังในการเลือกครีมมากกว่าคนผิวประเภทอื่น

แต่กลับละเลยการดูแลผิวกายที่ต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมทั้งหลาย เช่น ฝุ่น ควันรถ แสงแดด และมลพิษอื่นๆ ระหว่างวันไม่ต่างกัน และมีปัญหาผิวกายหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอไม่สอดคล้องกับผิวหน้าที่ดูแลมาอย่างดี ครั้นจะนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับดูแลผิวหน้ามาดูแลผิวกายก็ไม่เหมาะสม เพราะผิวหน้า และผิวกายนั้นมีสภาพผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้นเรามาดูเคล็ดลับการดูแลผิวที่ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ช่วยฟื้นบำรุงผิวกายให้กระจ่างใสขึ้น สุขภาพดีและปลอดภัย



วิธีการดูแลบำรุง

บำรุงผิวขาวด้วยการขัดผิว

การขัดผิว ถือเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไป ซึ่งจะช่วยเผยผิวกายให้กระจ่างใสมากขึ้น สำหรับการขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ขัดผิวด้วยฟองน้ำ แปลง ใยบวบ หินสำหรับขัดผิว หรือแม้แต่การใช้ครีมอาบน้ำที่มีเม็ดสครับผิว เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมขัดผิวขณะอาบน้ำ แต่ทั้งนี้การขัดผิวควรขัดอย่างเบามือและไม่ควรขัดบ่อยจนเกินไป ประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะถ้าหากขัดผิวบ่อยจนเกินไปจะทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น และอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและผื่นคันบริเวณผิวหนังได้ง่าย

บำรุงผิวขาวด้วยด้วยสมุนไพรไทย

สำหรับตัวช่วยอย่างสมุนไพรไทยที่จะช่วยให้ผิวกายของสาว ๆ ขาวใสขึ้นได้และเป็นที่นิยมอย่างมากคือ มะขามเปียก และขมิ้น โดยมะขามเปียกจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกทำให้ผิวกระจ่างใส ส่วนขมิ้นจะช่วยทำให้ขาวผ่องมากขึ้น เพียงแค่นำมะขามเปียกไปแช่ในน้ำต้มสุกและนำขมิ้นมาปอกเปลือกตำให้ละเอียด จากนั้นให้เอาสมุนไพรทั้งสองตัวมาผสมเข้าด้วยกันกับน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งจะมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเนียนนุ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วให้นำมาขัดให้ทั่วตัวแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะขาวสว่างใสขึ้นได้ทันตาเลยล่ะคะ

บำรุงผิวขาวด้วยการออกกำลังกาย

สาว ๆ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างต่ำวันละ 30 นาที ประมาณ 4-5 วันต่อสัปดาห์ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิว รวมถึงสารพิษต่าง ๆ ภายในร่างกายออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวกายของคุณดูสว่างสดใสขึ้นได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิวหนัง ซึ่งสามารถจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิวบริเวณผิวหนังได้อีกด้วยบำรุงผิวขาวด้วยครีมทาผิว

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่สาว ๆ ควรทำเป็นประจำทุกวันคือต้องทาครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและขาวขึ้น แต่ทั้งนี้ครีมบำรุงผิวที่เลือกใช้ควรจะมีส่วนประกอบของไวท์เทนนิ่ง มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และมีวิตามินที่สำคัญสำหรับผิวอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี เป็นต้น นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านสาว ๆ ควรทาครีมกันแดดก่อนประมาณ 20 นาที เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวี ทั้งนี้ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ระหว่าง 15 - 29 ซึ่งถือว่ากำลังพอเหมาะกับการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปค่ะ

บำรุงผิวขาวด้วยน้ำนม

หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำว่าอาบน้ำแร่แช่น้ำนมกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งสาว ๆ เชื่อไหมคะว่าน้ำนมนั้นเหมาะสำหรับที่จะใช้บำรุงผิวกายอย่างมาก เพราะนมอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่ดีต่อผิว อีกทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ด้วย เพียงแค่นำน้ำนมมาทาบริเวณผิวกายให้ทั่ว รอสักพักพอเริ่มแห้งแล้วให้ขัดอย่างเบามือ จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้แค่สัปดาห์ละครั้ง รับรองว่าผิวของสาว ๆ จะค่อย ๆ แลดูขาวขึ้นได้แน่นอน



วิธีการดูแลบำรุงผิวตัวช่วยเสริม

อาหารบำรุงผิว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั้นส่งผลโดยตรงต่อร่างกายของเรา ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่างกายและสุขภาพผิวก็จะดีตามไปด้วย มาดูกันเลยว่าอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและส่งผลดีต่อผิวพรรณนั้นมีอะไรกันบ้าง ใครถูกใจอาหารประเภทไหนก็สรรหามารับประทานเพื่อเพิ่มความสวยจากภายในสู่ภายนอกกันได้เลย

  • กล้วย ผลไม้ประจำบ้านที่ช่วยรวมพลังให้ผิวเราเก็บน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น และยังช่วยให้ผิวปกป้องตัวเองจากมลภาวะภายนอกได้ดีอีกด้วย

  • แครนเบอร์รี่ มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ช่วยขจัดแบคทีเรียออกจากกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ระบบการปัสสาวะดีขึ้น แถมยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย

  • ราสเบอร์รี่ ผลไม้ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

  • มะละกอ ผลไม้ที่มีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่ช่วยกำจัดผิวที่ตายแล้ว พร้อมทำให้เซลล์ผิวใหม่แข็งขึ้น รอยดำต่าง ๆ ก็หายไปด้วย ไม่ว่าจะนำมารับประทานหรือนำมาผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก็ช่วยทำให้ผู้ใช้มีผิวขาวนุ่มเนียนขึ้นได้ทั้งนั้น

  • มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอี เมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี มันจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางหลายชนิดที่ช่วยทำให้แผลแห้งไว ผิวที่บวมแดงยุบเร็วขึ้น และช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้น

  • องุ่นแดง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดมะเร็งเพราะมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) และที่สำคัญยังทำให้ผิวที่ได้รับผลกระทบจากแสงแดดผลัดตัวและซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้นอีกด้วย

  • แอพริคอต ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีน จึงช่วยทำให้ผิวมีสุภาพดี เนียนนุ่ม ฟื้นฟูไว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยต้านสารพิษจากสิ่งแวดล้อม

  • อะโวคาโด ช่วยทำให้ผิวนุ่ม แก้ปัญหาอาการผิวแห้งและคัน ทำให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้น ผิวที่ถูกแดดบ่อยจนไหม้ก็สามารถทานอะโวคาโดเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

  • ฟักทอง ตัวช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิว หากนำมาพอกหน้าโดยผสมกับน้ำผึ้งก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าและทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มได้เป็นอย่างดี

  • ชะเอมเทศ นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอแล้ว ชะเอมเทศยังมีประโยชน์ในแง่ของความงามอีกด้วย เนื่องจากมันอุดมไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน สังกะสี ฯลฯ ดังนั้นเราจึงใช้ชะเอมเทศเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่ด่างดำจากการถูกแดดเผา และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

  • ชาเขียว ชาที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย จึงช่วยชะลอให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบ ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

  • แตงกวา มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ลดรอยแดง ฆ่าเชื้อ และช่วยเติมน้ำให้ผิว ที่สำคัญยังเหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางอีกด้วย

  • ว่านหางจระเข้ เราสามารถนำมาประคบเมื่อผิวหนังไหม้ เกิดอาการแสบจากความร้อนหรือไฟได้ ในส่วนของความงามก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะช่วยทำให้คอลลาเจนสร้างตัวได้ไวขึ้น รวมไปถึงสีผิวก็สม่ำเสมอขึ้นด้วย

  • น้ำผึ้ง ถ้านำมาทาผิวก็ช่วยให้ผิวอ่อนนุ่มและทำให้แผลหายไว้ ไม่ว่าจะเป็นแผลธรรมดาหรือแผลที่เกิดจากการเผาไหม้

  • มิ้นท์ พืชตระกูลมิ้นท์อย่างสะระแหน่ มีสรรพคุณทางเย็น และมักถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผสมกับเครื่องสำอาง เพราะมันสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

  • ถั่วเหลือง เป็นพืชที่มีโปรตีนสูง อุดมไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน (ให้ผลดีกับเพศหญิงมากกว่า) ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูมีสุขภาพดี

  • แปะก๊วย พืชอีกตัวที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก ๆ ช่วยชะลอความเสื่อมของวัยได้ อีกทั้งยังทำให้ความจำดี ระบบการเรียนรู้และการได้ยินก็จะเสื่อมช้ากว่าที่ควรจะเป็นด้วย

  • น้ำมันดอกลาเวนเดอร์ นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดจากไมเกรนแล้ว ยังช่วยทำให้แผลสดหายเร็วขึ้นด้วย

  • สาหร่ายทะเลสีแดง (พันธุ์ Haematococcus Pluvialis) เป็นสาหร่ายที่มีสารแอสตาแซนทิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและสารสกัดจากเมล็ดองุ่นซะอีก ผลจากการทานนอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายเสื่อมช้าลง แข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวเนียนตึงกระชับ รอยเหี่ยวย่นลดลง ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าหาทานแบบสด ๆ ไม่ได้ ก็ยังมีแบบที่เป็นอาหารเสริมมาให้เลือกทานกันด้วยครับ


เพิ่มสารอาหารบำรุงผิว การดูแลผิวพรรณภายในทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่หันมาเลือกรับรับประทานอาหารเสริมหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ที่สามารถช่วย บำรุงผิว ได้ให้มีความสดใส สวยงาม และดูดี อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช ที่เป็นแหล่งสำคัญของสารอาหารที่ผิวต้องการ ซึ่งได้แก่

  • วิตามินซี (Vitamin C) สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวและมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ต้านความเครียด เพิ่มภูมิต้านทานให้ผิว พบได้มากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

  • วิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหน้า ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ บำรุงผิวให้แข็งแรง และยังมีความสำคัญต่อขบวนการเติบโตของผิวหน้าให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติอีกด้วย แต่ควรได้รับในปริมาณที่พอดี หรือประมาณ 3 มิลลิกรัม เพราะถ้ามากเกินไปจะเป็นอันตรายและทำให้ผิวหยาบกร้านได้ ส่วนอาหารที่มีวิตามินเอ ก็ได้แก่ นม เนย ปลาเแซลมอน ผักใบเขียว แคนตาลูป มะเขือเทศ ฟักทอง เป็นต้น

  • แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ร่างกายจะต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของวิตามินเอก่อนจึงจะนำไปใช้ได้ แคโรทีนอยด์ที่รู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน ที่พบได้ในผักใบเขียวและในผักผลไม้สีส้ม

  • วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากในการรักษาสภาพผิว ช่วยรักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้ผิวหนังไม่แห้งเหี่ยว ช่วยให้แผลหายเร็ว ชะลอความชราของผิว และช่วยปกป้องการถูกทำลายของเซลล์ผิวหนัง โดยควรได้รับวันละประมาณ 200-400 IU อาหารที่มีวิตามินอีก็ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ถั่ว น้ำมันพืช ข้าวไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น

  • วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวหนังเรียบ ช่วยซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพและสีผิว โดย วิตามินบี 1 จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น, วิตามินบี2 จะช่วยบำรุงผิวหนัง, วิตามินบี 5 ช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้ผิวหม่นหมอง, ไบโอติน ช่วยสร้างคอลลาเจน กรดอะมิโน และกรดไขมัน ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งซีดดูไม่สดใส พบได้ใน ไข่แดง ตับ ไต ถั่ว ดอกกะหล่ำ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินบีก็ได้แก่ แป้ง ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เป็นต้น

  • วิตามินดี (Vitamin D)ช่วยส่งเสริมให้ผิวหายใจได้ดียิ่งขึ้น ผิวจึงดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยต้านความเครียด และลดโรคผิวหนังบางชนิด ซึ่งการที่ร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อน ๆ วันละ 15 นาที ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

  • คอลลาเจน (Collagen) ทำหน้าที่ค้ำจุนโครงสร้างให้ผิวหนังมีความแข็งแรง มีผลทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เรียบเนียน โดยคอลลาเจนจะอยู่คู่กับโปรตีน "อีลาสติน" ซึ่งทำหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นแก่ผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย โดยอาหารที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนก็ได้แก่ วิตามินซี

วิธีการบำรุงผิวให้ถูกวิธี หากสาวๆปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป้าหมาย ผิวหน้า ผิวกาย จะกลับมาขาวใสก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน เคล็ดลับการดูแลผิวสวย ขยันเติมความชุ่มชื้นให้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ถ้าผิวเรามีความชุ่มชื้นอิ่มน้ำก็จะช่วยลดความหมองคล้ำ ทำให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง

อ่านเพิ่มเติม ได้ที่ บำรุงผิว แบบไหนติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่beautymustknow.com

กันแดด กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/ website : Kandabeauty.com

ดู 5 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page