ผิว แห้ง ลอกออกมาเป็นขุย แต่งหน้าไม่ติดแก้อย่างไร
ถึงอากาศยังไม่หนาวแต่ผิวหน้าเราก้าวร้าว ผิว แห้ง ลอกออกมาเป็นขุยๆ กู้ผิวหน้าให้เรียบเนียนแทนเบสเมคอัพ ปกป้องผิวจากแสงแดดตลอดวัน ฟื้นฟูและบำรุงผิวอย่างเข้มข้น ให้ผิวชุ่มชิ้นและแข็งแรง ให้ตื่นมาพร้อมกับผิวที่นุ่มเด้งมีชีวิตชีวาได้เวลามากู้หน้าพังๆ ดัดนิสัยผิวแย่ๆ ให้กลับมาดีเหมือนเดิมกันค่า
การทา ครีมบำรุงหน้า ให้ใช้ตัวที่มีเนื้อบางเบาก่อน แล้วตามด้วยตัวที่มีเนื้อหนัก ดูได้จากการสัมผัสเนื้อครีม ซึ่งจะเห็นถึงความแตกต่างว่า ครีมตัวไหนเหนอะหนะ หนักผิว หรือครีมตัวไหนบางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย
Allergy หรือ “อาการแพ้” ของผิวแพ้ง่ายนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะบุคคล ผิวของแต่ละคนก็แพ้สารแตกต่างกันไป การจะรู้ว่าแพ้สารเคมีตัวไหนโดยเฉพาะนั้นค่อนข้างยาก เพราะว่าในเครื่องสำอางมีส่วนผสมของสารเคมีจำนวนมาก ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างแพทย์ผิวหนังที่มากประสบการณ์เท่านั้นในการวินิจฉัย ความเสียหายจากอาการแพ้จะเกิดขึ้นลึกลงไปในผิวชั้นกลาง ซึ่งอาจมีอาการค่อนข้างรุนแรงถึงรุนแรงมาก ตั้งแต่อาการบวมแดง ผิวหนังอักเสบ แสบร้อน ล้างผลิตภัณฑ์ออกก็ยังไม่หาย นอกจากการหยุดใช้สารก่ออาการแพ้แล้ว ยังต้องมียาทารักษาอาการแพ้ ลดการอักเสบ กับยารับประทานเพื่อบรรเทาอาการด้วย ส่วนมากต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดด้วยค่ะ
Irritation หรือ “การระคายเคือง” ของ ผิวบอบบาง อาการนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อผิวสัมผัสกับสารหรือสภาวะที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ อย่างเช่น สภาวะความเป็นกรดมากเกินไป เป็นด่างมากเกินไป ร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป ใช้สารเคมีหรือเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวแห้ง มีส่วนผสมสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่างเช่น น้ำหอม สีหรือสารกันเสียเป็นต้นในปริมาณมากหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจนผิวอ่อนแอลงและเกิดการระคายเคือง ซึ่งการหลีกเลี่ยงสารก่อระคายเคืองนั้นทำได้ง่ายกว่าสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มาก เพราะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ผิวที่แข็งแรงมากมีโครงสร้างสมบูรณ์ดีก็จะทนกับปัจจัยที่ก่อการระคายเคืองได้ดีกว่าผิวที่อ่อนแอ
ผิวแห้งเกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่นเพราะผิวชั้นนอกที่ไม่สมบูรณ์หรือขาดชั้นเคลือบปกป้องผิวนั้นจะทำให้สารก่อการระคายเคืองเข้ามาทำความเสียหายได้ อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดจากการระคายเคืองก็มีตั้งแต่ รู้สึกคัน แสบแดง แห้งลอกค่ะ
ผิวแห้งและผิวขาดความชุ่มชื้นคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน
คำว่าผิวแห้งเป็นคำใช้จำแนกสภาพผิวที่ติดตัวมา เช่น คนนี้ผิวมัน คนนี้ผิวผสม คนนี้ผิวแห้ง ซึ่งใช้ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันเป็นตัวจำแนก
ผิวปกติ (Normal skin)เป็นลักษณะผิวที่มีความสมดุล กล่าวคือไม่มันเกินไปและไม่แห้งจนเกินไป เป็นผิวที่มีลักษณะแข็งแรง ไม่แพ้ง่าย รูขุมขนขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป มีจุดบกพร่องต่างๆ ของผิวน้อย เมื่อเทียบกับผิวชนิดอื่น
ผิวแห้ง(dry skin) หมายถึง ผิวที่ขาดน้ำมัน (sebum) เคลือบผิวด้านบน เนื่องมาจากมีต่อมน้ำมัน ( sebaceous gland) ใต้ผิวน้อย จึงผลิตน้ำมันได้น้อย เมื่อปริมาณน้ำมันเคลือบพื้นผิวน้อยจึงสูญเสียน้ำใต้ผิวได้ง่าย ดังนั้นคนที่ผิวแห้งยังคงมีความสมบูรณ์ของ intercllular matrix และมีน้ำใต้ผิวที่เพียงพอ เพียงแต่ขาดน้ำมันที่พื้นผิว ผิวแห้งเป็นลักษณะผิวที่ขาดความชุ่มชื้นอันเนื่องมาจากสูญเสียน้ำออกไป ลักษณะผิวจะหมองคล้ำ บางคนอาจมีผิวลอก ขาดความยืดหยุ่น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยในการเกิดริ้วรอยและโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ ตามมา
ผิวมัน (oily skin) หมายถึง ผิวที่มีต่อมไขมันมากทั่วทั้งหน้าและผลิตน้ำมันมาเคลือบพื้นผิวได้มาก ผิวภายนอกจึงดูมัน การสูญเสียน้ำใต้ผิวจึงเกิดขึ้นน้อย ลักษณะผิวที่มีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ ผิวหยาบ ผิวมันวาว รูขุมขนกว้าง และมีแนวโน้มที่จะมีสิวอักเสบหรือสิวอุดตันอันเนื่องมาจากการอุดตันในรูขุมขน
ผิวผสม (mix skin) หมายถึง ผิวที่มีต่อมไขมันบริเวณ t-zone มาก, u-zone น้อย ทำให้หน้ามันเฉพาะบริเวณ t-zone ส่วน u-zone ธรรมดาหรือแห้ง เป็นลักษณะผิวที่มีการผสมระหว่างผิวแห้งและผิวมัน อาจมีผิวแห้งบางบริเวณ และผิวมันบางบริเวณ เช่น T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) โดยอาจมีสิวอุดตันและรูขุมขนกว้างในบริเวณที่มีความมัน ซึ่งผิวในลักษณะนี้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะสมกับบริเวณนั้นๆ
ผิวขาดความชุ่มชื้น (dehydrated skin) คือผิวที่มีน้ำใต้ผิวต่ำ วัดน้ำใต้ผิวได้ < 10% สาเหตุอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยภายใน
ครีมบำรุงผิว นั่นคือ น้ำ การดื่มน้ำให้ได้วันละ7-8แก้วต่อวัน ปริมาณน้ำที่ต้องดื่มต่อวันคือ 2-3 ลิตร มีประโยชน์อย่างมากนอกจากจะมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวแล้ว ยังสามารถช่วยให้สารสกัดต่างๆในเนื้อครีมยังคงประสิทธิภาพในการดูแลผิวและมีแร่ธาตุชนิดที่ใกล้เคียงกับน้ำในร่างกายของคนเรา จึงสามารถนำพาสารบำรุงต่างๆ เข้าซึมลึกสู่เซลล์ผิวได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังกักเก็บรักษาความชุ่มชื้นในผิวไปพร้อมกับการผลักของเสีย และสิ่งสกปรกออกจากเซลล์ผิวได้อีกด้วย
มอยส์เจอไรเซอร์แบบไหนที่เหมาะกับผิวหน้าของเรา
ผิวปกติ (Normal skin): ลักษณะผิวไม่แห้งหรือมันจนเกินไป สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบโลชั่น เพื่อที่จะได้รู้สึกแห้งเร็ว เบาสบายผิว ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะจนเกินไป หรือหากต้องการความชุ่มชื้นมากๆ ก็สามารถใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เป็นฐานน้ำมันได้ (Oil-based moisturizer) แต่เวลาที่ใช้อาจปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศ เช่น ถ้าอยู่ในประเทศที่มีอากาศเย็นหรือหนาว สามารถทามอยส์เจอไรเซอร์ที่เป็นฐานน้ำมันได้ทั้งเช้าและเย็น แต่หากอยู่ในประเทศที่มีอากาศค่อนข้างร้อน แนะนำให้ทาช่วงก่อนนอน จะได้ไม่เกิดความเหนียวเหนอะหนะระหว่างวัน
ผิวแห้ง (Dry skin): ลักษณะผิวจะค่อนข้างแห้งและขาดน้ำ จึงควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมัน (Oil-based moisturizer) ที่ประกอบไปด้วยน้ำมันสำหรับบำรุงผิวเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้น้ำมันเคลือบผิวไม่ให้ความชื้นจากผิวระเหยออกไป ซึ่งเนื้อของผลิตภัณฑ์อาจมีความข้นหรือหนืดมากกว่าปกติ หากท่านใดมีผิวที่แห้งมากเป็นพิเศษ อาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเป็นขี้ผึ้งซึ่งมีความสามารถในการคลือบผิว ทำให้ลดการระเหยของน้ำได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นหรือครีม แต่ข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์เนื้อขี้ผึ้งคือ จะก่อให้เกิดความมันบนผิว อาจทำให้ไม่สะดวกหากทาตอนกลางวัน จึงแนะนำให้ทาตอนก่อนนอน
ผิวมัน (Oily skin): ลักษณะจะเป็นผิวที่มันวาวเนื่องจากมีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมามากกว่าปกติ และอาจมีสิวด้วยในบางคน คนส่วนใหญ่จึงคิดว่ามอยส์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับคนผิวมัน อย่างไรก็ดี ผิวประเภทนี้ยังต้องการความชุ่มชื้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ล้างหน้าเสร็จ มอยส์เจอไรเซอร์ที่แนะนำให้ใช้จะเป็นแบบฐานน้ำ (Water-based moisturizer) ที่อาจอยู่ในรูปแบบโลชั่นเหลว ซึ่งเมื่อเทียบกับครีมเเล้ว โลชั่นจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ในตำรับ มีผลดีคือจะก่อให้เกิดสิวน้อยกว่า นอกจากนี้ คนผิวหน้ามันควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว โกโก้บัทเตอร์ (Cacao butter) หรือปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly)
ผิวผสม (Combination skin): ลักษณะผิวบางบริเวณจะแห้งและบางบริเวณ เช่น หน้าผาก จมูก คาง จะมีความมัน อาจเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความหนืดเเละให้ความชุ่มชื้นปานกลาง เป็นเนื้อโลชั่นกึ่งครีม หรืออาจเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละส่วน เช่น ส่วนที่แห้ง ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง และส่วนที่มัน ให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนผิวมัน
เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์เป็น ช่วยอะไรบ้าง?
1.Repairing the skin barrier : เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ผิวแข็งแรงขึ้น ระคายเคืองน้อยลง ไม่แพ้ง่าย
2.Increasing water content : เพิมปริมาณน้ำใต้ผิว
3.Reducing TEWL : ลดการสูญเสียน้ำผ่านออกทางผิวหนังชั้นอีพิเดอร์มิส
4.Restoring the lipid barriers’ ability to attract, hold and redistribute water : ซ่อมแซม intercellular lipids ให้สามารถกักเก็บน้ำและรักษาสมดุลน้ำใต้ผิว
การดูแลผิวแต่งหน้าให้ติดทนนาน
1.หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ทำให้ผิวของเราสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวหน้าของเราบอบบางและแพ้ง่าย โดนความร้อนผ่านใบหน้าโดยตรง ความร้อนจากน้ำอุ่นจะชะเอาความชุ่มชื้นออกหมด จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดสมดุลและทำให้เกิดการคลายรูขุมขนให้เปิดออก ส่งผลให้รูขุมขนกว้างเวลาแต่งหน้าก็จะไม่ติดเหมือนผิวส้ม หน้าลอก หน้าเป็นขุย แนะนำให้คุณใช้น้ำอุณหภูมิปกติล้างหน้าแทน เพื่อรักษาสภาพผิวหน้าให้ชุ่มชื้น
2.ไม่นำผ้าขนหนูเช็ดหน้า หลังล้างหน้าเสร็จเราเช็ดให้แห้งเพื่อเตรียมลงสกินแคร์แต่หลายๆคนใช้วิธีเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูซึ่งค่อนข้างอับชื้นและเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย เป็นสาเหตุหลักของการทำร้ายผิว ดังนั้นเราจึงแยกผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้าหรือเอากระดาษทิชชูสำหรับเช็ดหน้าโดยเฉพาะ
3.การลงสนิกแคร์หลังล้างหน้า เมื่อเราล้างหน้าเสร็จควรบำรุงทันทีด้วยสนิกแคร์เหมาะที่สุดอยู่ในช่วงที่พร้อมได้รับการบำรุง เลือกเนื้อที่เบาบางที่สุดไปเข้มข้นที่สุดเช่น เอสเซนส์ เซรั่มบำรุงผิว การลงสนิกแคร์ค่อยๆลงรอให้ซึมก่อน และใช้ครีมกันเเดด เนื่องจากเมื่อผิวเจอกับแสงแดดที่มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดริ้วรอย ความหมองคล้ำได้แล้วค่อยลงขั้นตอนถัดไปเครื่องสำอาง
4.พักผ่อนให้เพียงพอ ปัจจัยหลักที่ทำมห้ผิวเราดูแย่เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอจะทำให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอได้ดี การที่เราพักผ่อนน้อยกว่า6-8ชั่วโมง หน้าโทรม สิวขึ้น รอยคล้ำใต้ดวงตา รูขุมขนกว้างและปัญหาผิวอีกมากมาย
5.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ ผลเสียต่อสุขภาพผิวทำให้แก่ชราก่อนวัยอันควร และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้สูบบุหรี่เองก็ตาม แต่การสูดดมควันบุหรี่จากคนใกล้ตัวก็ให้ผลเสียที่ไม่แตกต่างกัน
6.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันประมาณ 8 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำสามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน ใช้วิธีการจิบเอา เพื่อทำให้ผิวไม่แห้ง ดูเต่งตึง และอิ่มน้ำ
7.จัดการความเครียดในชีวิตประจำวัน เพราะความเครียดอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ ผ่อนคลายความตึงเครียดและทำจิตใจให้แจ่มใส ด้วยการทำงานอดิเรกที่ชอบ
8.หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ ถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอร์จะซึมเร็วหรือทำความสะอาดใบหน้าได้หมดจด แต่มันทำลายเซลล์ผิว ดึงเอาน้ำมันที่กักเก็บไว้ใต้ผิวหนังออกไป ทำให้ผิวหนังขาดน้ำโดยเฉพาะใครที่มีผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอร์
9.ไม่จ้อหน้านอนานเกินไป โลกโซเชียลทำเราเพลินหลงเล่นนานไปหลายชั่วโมง แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นอันตรายต่อดวงตาและยังส่งผลต่อผิวหน้าอีกด้วย
10. ผสมรองพื้นกับไพรเมอร์ช่วยได้การเตรียมผิว หลายคนมักจะใช้ไพรเมอร์ลงก่อนเป็นขั้นแรก เพื่อให้รองพื้นติดแน่นสนิทและติดทนขึ้น แต่วันนี้เราจะมิกซ์รวมเข้าด้วยกันไปเลยค่ะ เพื่อให้ไพรเมอร์ช่วยยึดเกาะรองพื้นได้ทั่วหน้า ให้รองพื้นไม่แตกตัวแยกชั้นออกมา
ปัญหาแก้ยากอันดับหนึ่งของคนไทย เนื่องจากพันธุกรรมเราส่วนใหญ่ จะมีผิวหน้าที่รูขุมขนกว้าง ทำให้ไขมันในผิวขับออกมาง่าย จนทำให้หน้ามันเยิ้ม ใช้ ครีมบำรุงหน้า เพื่อลดปัญหาหน้ามัน แล้วตบท้ายด้วยแป้งฝุ่น จะช่วยให้เครื่องสำอางติดหน้ามากขึ้นรูขุมขนกว้าง
อยากให้ผิวดูสวย ควรหันมาดูแลผิวชั้นให้แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อเผยผิวสวยจาก สิว เห่อ หมั่นทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำแต่สาเหตุของการเกิดสิวที่นอกเหนือจากฮอร์โมนและพันธุกรรม
อ่านเพิ่มเติม ได้ที่ ผิว แห้ง
ติดตามอ่านบทความดีๆ ได้ที่ beautymustknow.com
กันแดด กันดะ มีวางจำหน่ายแล้วทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/pg/kandabeauty.company/ website : Kandabeauty.com
Comments